พืชอาหารสัตว์และการถนอมพืชอาหารสัตว์

พืชอาหารสัตว์ หมายถึงพืชใดๆ ที่สัตว์กินเข้าไปแล้วทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายและไม่เป็นพิษต่อสัตว์ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีพืชอยู่หลายชนิด ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ พืชอาหารสัตว์หลักส่วนใหญ่ ได้แก่ พืชตระกูลหญ้า ตระกูลถั่ว ซึ่งใช้เป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้แก่ ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ไม้ยืนต้น การพิจารณาคัดเลือกพืชอาหารสัตว์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ที่จะปลูก ให้สัมพันธ์กับคุณลักษณะจำเพาะของพืชอาหารสัตว์จึงนับว่ามีความสำคัญยิ่ง และควรจะต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน เช่น พันธุ์พืชอาหารสัตว์ ความน่ากิน อัตราการให้ผลผลิต คุณค่าทางโภชนาการ ลักษณะการใช้ประโยชน์ เช่น ตัดมาให้กินปล่อยแทะเล็ม หรือการปลุกในพื้นที่มีระบบชลประทาน กับระบบธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งกรรมวิธีในการถนอมอาหาร เช่น หญ้าแห้ง อาหารหมัก และยังควรคำนึงถึงการงอกกลับมาใหม่หลังจากตัด (regrowth) หรือความคงทนในการเหยียบย่ำหากมีการปล่อยแทะเล็ม เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวถึงพืชอาหารสัตว์ที่กำลังได้รับความนิยมในการปลูกในประเทศไทย ซึ่งต่อไปนี้จะแยกเป็น  2 กลุ่มคือ พืชตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว ซึ่งกล่าวโดยสรุปถึงวิธีการปลูก การจัดการ และการใช้ประโยชน์ ดังนี้

คุณสมบัติทั่วไป หญ้าแพงโกล่า เป็นหญ้าประเภทเลื้อย (stoloniferous)  อายุหลายปี มีลำต้นทอดนอนไปตามพื้นผิวดิน มีรากเจริญออกมาตามข้อที่สัมผัสผิวดินและแตกหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ ต้นอ่อนจะตั้งตรงแต่เมื่ออายุมากขึ้นลำต้นจะทอดนอนไปตามผิวดิน ปกคลุมพื้นที่ได้หนาแน่น ลำต้นมีขนาดเล็กสูง 40 – 60 เซนติเมตร ไม่มีขน ใบดก อ่อนนุ่ม มีลักษณะเล็กเรียงยาว ไม่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ จึงขยายพันธุ์ด้วยท่อนพันธุ์ หญ้าแพงโกล่าเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้น มีฝนตกเฉลี่ยมากกว่า 1,000 มิลลิเมตรต่อปี ขึ้นได้ในดินหลายชนิดตั้งแต่ดินทรายจนถึงดินเหนียวทนแล้งได้ดีพอสมควร แต่สามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ชื้นแฉะชุ่มน้ำ ทนน้ำท่วมขังเหมาะสำหรับปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงและสามารถควบคุมการให้น้ำได้ตลอดทั้งปี จึงสามารถปลูกหญ้าแพงโกล่าได้ทั้งในพื้นที่ลุ่ม และพื้นที่ดอนที่สามารถให้น้ำได้

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 5-7 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ โปรตีน 7-11 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน คล้ายการทำนาหว่านน้ำตม เริ่มจากปล่อยน้ำเข้าแปลงขังน้ำไว้ประมาณ 2 วัน จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนแห้ง ทิ้งไว้ประมาณ 7 – 10 วัน เพื่อให้วัชพืชงอก หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลง แช่ทิ้งไว้ 2 – 3 กัน จนดินอิ่มตัวไถพลิกกลับหน้าดินและตีเทือก ถ้ามีวัชพืชให้ทิ้งไว้ประมาณ 7 วันก่อนจะตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง แล้วลบเทือกพร้อมปลูกได้ทันที สำหรับในกรณีที่มีวัชพืชและฟางข้าวมากควรหมักดินอีก 7 – 10 วัน แล้วตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง และลูบเทือกก่อนที่จะปลูกหญ้า

การปลูก หลังจากเตรียมดินและทำเทือกได้ที่แล้ว ปรับระดับน้ำให้สูง 10 – 15 เซนติเมตร ใช้ท่อนพันธุ์หญ้าอายุ 50 – 60 วันอัตราไร่ละ 200 – 250 กิโลกรัม หว่านอย่างสม่ำเสมอให้ทั่วแปลงแล้วใช้ท่อนไม้ไผ่หรือท่อพีวีซี นาบกดท่อนพันธุ์หญ้าให้จมน้ำ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนหมด ท่อนพันธุ์จะสัมผัสดิน และตามข้อจะมีรากหญ้าสีขาวงอกยาวประมาณ 3 – 5 เซนติเมตรเมื่อระบายน้ำออกแล้ว ปล่อยแปลงทิ้งไว้ 1 เดือนจนดินแห้งกรัง จึงเริ่มให้น้ำขังไว้ 2 คืน ถ้ายังมีน้ำเหลืออยู่ในแปลงให้ระบายออก และใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 25 กิโลกรัมหว่านให้ทั่วแปลงหลังจากนี้ 10 – 15 วัน เมื่อดินเริ่มแห้ง จึงให้น้ำในปริมาณที่คาดว่าจะแห้งภายใน 1 คืน และหว่านปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม หากใช้ในรูปของปุยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต้องใช้อัตราเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปุยยูเรีย หลังจากปลูกแล้ว 60 วัน ก็ตัดหญ้าไปใช้ประโยชน์ได้

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุยรองพื้นร่วมกับปุยคอก ปุยเคมีทุกชนิดต้องใส่ขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมหรือใส่แล้วสามารถให้น้ำได้ภายในระยะเวลา 1- 2 วัน ซึ่งในแต่ละรอบการตัดควรใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 15- 25 กิโลกรัม ใส่ภายหลังจากตัดและนำหญ้าออกจากแปลงแล้ว หลังจากนั้นใช้ปุยยูเรียอัตราครั้งละ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่อีก 1 – 2 ครั้งในช่วงระยะเวลาห่างกันประมาณ 10-15 วันใส่ปุ๋ยคอก เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชและได้ผลผลิตจากแปลงหญ้านานขึ้น ควรใส่ภายหลังจากตัดหญ้าแต่ละรอบในอัตรา 500 – 1000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยทยอยใส่หนึ่งรอบการตัดแล้วเว้นหนึ่งรอบการตัด หรือปีละ 3 – 4 ครั้ง และใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การใช้ประโยชน์ สามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ครั้งแรก เมื่ออายุ 60-70 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปทุก 40 วัน เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม ในรูปหญ้าสด และหญ้าแห้ง

คุณสมบัติทั่วไป มีถิ่นกำเนิดมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางตอนใต้ของทวีปอัฟริกา พบกระจายตัวทั่วไปที่ระดับความสูง 1,000 – 2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล หญ้าไนล์เป็นพืชข้ามปี มีการสังเคราะห์แสงแบบ C3 ขยายพันธุ์โดยเหง้า (rhizome) และไหล (stolon) ต้นมีลักษณะตั้งตรงถึงแผ่ราบ ลำต้นเรียวเล็ก ใบมีสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบหรือมีขนเล็กน้อย มีความสูงประมาณ 40 – 110 เซนติเมตร ช่อดอกยาว 15 – 25 เซนติเมตรประกอบด้วย 2 – 5 ช่อดอกย่อย ช่อดอกย่อยยาว 6 – 9 เซนติเมตร spikelets ยาว 5 มิลลิเมตร ลักษณะพื้นที่ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของหญ้าไนล์ คือ พื้นที่ลุ่มที่มีลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินเหนียวปนทรายทนต่อน้ำท่วมขังตามฤดูกาลได้ หญ้าไนล์มีความน่ากินสูง เหมาะสมในการทำเป็นหญ้าแห้งคุณภาพดีเนื่องจากมีโปรตีนสูง ลำต้นไม่อวบน้ำมากนัก ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้ง ทนฝน ยิ่งตัดยิ่งแตก หน่อขึ้นใหม่เมื่อน้ำลด

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 1,061-1,669 กิโลกรัมต่อไร่

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีนสูงมากถึง 11.25-16.33 เปอร์เซ็นต์ (ตามอายุของหญ้า)

การเตรียมดิน คล้ายการทำนาหว่านน้ำตม เริ่มจากปล่อยน้ำเข้าแปลงขังน้ำไว้ประมาณ 2 วัน จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนแห้ง ทิ้งไว้ประมาณ 7 – 10 วัน เพื่อให้วัชพืชงอก หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลง แช่ทิ้งไว้ 2 – 3 กัน จนดินอิ่มตัวไถพลิกกลับหน้าดินและตีเทือก ถ้ามีวัชพืชให้ทิ้งไว้ประมาณ 7 วันก่อนจะตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง แล้วลบเทือกพร้อมปลูกได้ทันที สำหรับในกรณีที่มีวัชพืชและฟางข้าวมากควรหมักดินอีก 7 – 10 วัน แล้วตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง และลูบเทือกก่อนที่จะปลูกหญ้า

การปลูก หลังจากเตรียมดินและทำเทือกได้ที่แล้ว ปรับระดับน้ำให้สูง 10 – 15 เซนติเมตร ใช้ท่อนพันธุ์หญ้าอายุ 50 – 60 วันอัตราไร่ละ 200 – 250 กิโลกรัม หว่านอย่างสม่ำเสมอให้ทั่วแปลงแล้วใช้ท่อนไม้ไผ่หรือท่อพีวีซี นาบกดท่อนพันธุ์หญ้าให้จมน้ำ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนหมด ท่อนพันธุ์จะสัมผัสดิน และตามข้อจะมีรากหญ้าสีขาวงอกยาวประมาณ 3 – 5 เซนติเมตรเมื่อระบายน้ำออกแล้ว ปล่อยแปลงทิ้งไว้ 1 เดือนจนดินแห้งกรัง จึงเริ่มให้น้ำขังไว้ 2 คืน ถ้ายังมีน้ำเหลืออยู่ในแปลงให้ระบายออก และใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 25 กิโลกรัมหว่านให้ทั่วแปลงหลังจากนี้ 10 – 15 วัน เมื่อดินเริ่มแห้ง จึงให้น้ำในปริมาณที่คาดว่าจะแห้งภายใน 1 คืน และหว่านปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม หากใช้ในรูปของปุยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต้องใช้อัตราเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปุยยูเรีย หลังจากปลูกแล้ว 60 วัน ก็ตัดหญ้าไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นเดียวกันกับหญ้าแพงโกล่า

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้นร่วมกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมีทุกชนิดต้องใส่ขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมหรือใส่แล้วสามารถให้น้ำได้ภายในระยะเวลา 1- 2 วัน ซึ่งในแต่ละรอบการตัดควรใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 15- 25 กิโลกรัม ใส่ภายหลังจากตัดและนำหญ้าออกจากแปลงแล้ว หลังจากนั้นใช้ปุ๋ยยูเรียอัตราครั้งละ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่อีก 1 – 2 ครั้งในช่วงระยะเวลาห่างกันประมาณ 10-15 วันใส่ปุ๋ยคอก เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชและได้ผลผลิตจากแปลงหญ้านานขึ้น ควรใส่ภายหลังจากตัดหญ้าแต่ละรอบในอัตรา 500 – 1000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยทยอยใส่หนึ่งรอบการตัดแล้วเว้นหนึ่งรอบการตัด หรือปีละ 3 – 4 ครั้ง และใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช ในแปลงหญ้าบริเวณพื้นที่ลุ่ม มักจะพบวัชพืชที่ขึ้นแข่งขัน หรืออาจมีวัชพืชที่เมล็ดติดมากับน้ำ เช่น กก โสน และอื่น ๆ หากมีมากควรตัดปรับสภาพแปลงในช่วงหลังฤดูฝน ก่อนที่จะถึงฤดูแล้ง

การใช้ประโยชน์ สามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ครั้งแรก เมื่ออายุ 60-70 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปทุก 90 วัน

คุณสมบัติทั่วไป เป็นหญ้าอายุหลายปี ต้นกึ่งตั้งกึ่งเลื้อย ลำต้นเล็ก มีขน ใบเล็กเรียวยาว ใบดก อุ่นนุ่ม ทนน้ำท่วมขัง เป็นพืชข้ามปี ขยายพันธุ์โดยเหง้า และไหล ต้นมีลักษณะตั้งตรงถึงแผ่ราบ ลำต้นเรียวเล็ก ใบมีสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ มีความสูงประมาณ 40 – 110 เซนติเมตร ลักษณะพื้นที่ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของหญ้า คือ พื้นที่ลุ่มที่มีลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินเหนียวปนทรายทนต่อน้ำท่วมขังตามฤดูกาลได้ มีความน่ากินสูง เหมาะสมในการทำเป็นหญ้าแห้งคุณภาพดีเนื่องจากมีโปรตีนสูง ลำต้นไม่อวบน้ำมากนัก ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้ง ทนฝน ยิ่งตัดยิ่งแตก หน่อขึ้นใหม่เมื่อน้ำลดเช่นเดียวกับหญ้าไนล์

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 10 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 7-11 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน คล้ายการทำนาหว่านน้ำตม เริ่มจากปล่อยน้ำเข้าแปลงขังน้ำไว้ประมาณ 2 วัน จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนแห้ง ทิ้งไว้ประมาณ 7 – 10 วัน เพื่อให้วัชพืชงอก หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลง แช่ทิ้งไว้ 2 – 3 กัน จนดินอิ่มตัวไถพลิกกลับหน้าดินและตีเทือก ถ้ามีวัชพืชให้ทิ้งไว้ประมาณ 7 วันก่อนจะตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง แล้วลบเทือกพร้อมปลูกได้ทันที สำหรับในกรณีที่มีวัชพืชและฟางข้าวมากควรหมักดินอีก 7 – 10 วัน แล้วตีเทือกอีกครั้งหนึ่ง และลูบเทือกก่อนที่จะปลูกหญ้า

การปลูก หลังจากเตรียมดินและทำเทือกได้ที่แล้ว ปรับระดับน้ำให้สูง 10 – 15 เซนติเมตร ใช้ท่อนพันธุ์หญ้าอายุ 50 – 60 วันอัตราไร่ละ 200 – 250 กิโลกรัม หว่านอย่างสม่ำเสมอให้ทั่วแปลงแล้วใช้ท่อนไม้ไผ่หรือท่อพีวีซี นาบกดท่อนพันธุ์หญ้าให้จมน้ำ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงระบายน้ำออกจากแปลงจนหมด ท่อนพันธุ์จะสัมผัสดิน และตามข้อจะมีรากหญ้าสีขาวงอกยาวประมาณ 3 – 5 เซนติเมตรเมื่อระบายน้ำออกแล้ว ปล่อยแปลงทิ้งไว้ 1 เดือนจนดินแห้งกรัง จึงเริ่มให้น้ำขังไว้ 2 คืน ถ้ายังมีน้ำเหลืออยู่ในแปลงให้ระบายออก และใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 25 กิโลกรัมหว่านให้ทั่วแปลงหลังจากนี้ 10 – 15 วัน เมื่อดินเริ่มแห้ง จึงให้น้ำในปริมาณที่คาดว่าจะแห้งภายใน 1 คืน และหว่านปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม หากใช้ในรูปของปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต้องใช้อัตราเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปุ๋ยยูเรีย

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้นร่วมกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมีทุกชนิดต้องใส่ขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสมหรือใส่แล้วสามารถให้น้ำได้ภายในระยะเวลา 1- 2 วัน ซึ่งในแต่ละรอบการตัดควรใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราไร่ละ 15- 25 กิโลกรัม ใส่ภายหลังจากตัดและนำหญ้าออกจากแปลงแล้ว หลังจากนั้นใช้ปุ๋ยยูเรียอัตราครั้งละ 10 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่อีก 1 – 2 ครั้งในช่วงระยะเวลาห่างกันประมาณ 10-15 วันใส่ปุ๋ยคอก เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชและได้ผลผลิตจากแปลงหญ้านานขึ้น ควรใส่ภายหลังจากตัดหญ้าแต่ละรอบในอัตรา 500 – 1000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยทยอยใส่หนึ่งรอบการตัดแล้วเว้นหนึ่งรอบการตัด หรือปีละ 3 – 4 ครั้ง และใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช ในแปลงหญ้าบริเวณพื้นที่ลุ่ม มักจะพบวัชพืชที่ขึ้นแข่งขัน หรืออาจมีวัชพืชที่เมล็ดติดมากับน้ำ เช่น กก โสน และอื่น ๆ หากมีมากควรตัดปรับสภาพแปลงในช่วงหลังฤดูฝน ก่อนที่จะถึงฤดูแล้ง

การใช้ประโยชน์ สามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ครั้งแรก เมื่ออายุ 60-70 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปทุก 90 วัน

คุณสมบัติทั่วไป เป็นหญ้าที่มีอายุหลายปี ต้นกึ่งเลื้อยกึ่งตั้ง สามารถเจริญเติบโตในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำได้ ขึ้นได้ดีในพื้นที่ดอน ดินมีการระยายน้ำดี ทนแล้งพอสมควร ทนต่อการเหยียบย่ำของสัตว์ไม่ทนน้ำท่วมขัง

ผลผลิต น้ำหนักแห้ง 2.0 – 2.5 ตันต่อไร่ปี

คุณค่าทางโภชนะ มีโปรตีน 7-10 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดินให้ละเอียด จะทำให้เหมาะกับการฝังตัวของเมล็ด โดยไถพรวน 2 ครั้งปรับหน้าดินให้ราบเรียบสม่ำเสมอ แปลงหญ้าเก่าควรไถพรวนทุก 3 ปี ต้นฤดูฝนการปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์หญ้ารูซี่อัตรา 2 กิโลกรัมต่อไรโดยวิธีหว่านหรือปลูกเป็นแถวๆ ห่างกัน 50 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรมีการใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่และใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช ควรมีการกำจัดวัชพืชหลังปลูกหญ้า 2-4 สัปดาห์

การใช้ประโยชน์ การตัดหญ้ารูชี้ไปใช้เลี้ยงสัตว์ ควรตัดครั้งแรก 60-70 วันหลังปลูก โดยตัดสูงจากพื้นดิน 10- 15 เซนติเมตร สำหรับการปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มในแปลงหญ้า ควรปล่อยเข้าครั้งแรกเมื่อหญ้าอายุ70-90 วัน หลังจากนั้นจึงทำการตัดหรือปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มหมุนเวียนทุก 30-45 วัน ในช่วงฤดูฝนหญ้าโตเร็ว อาจตัดไต้ที่อายุน้อยกว่า 30 วัน หญ้ารูชี่เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ ในรูปหญ้าสด หญ้าแห้ง หรือหญ้าหมัก

คุณสมบัติทั่วไป เป็นหญ้าที่มีอายุหลายปี ต้นเป็นกอตั้งตรง แตกกอดี ใบใหญ่ ใบดกอ่อนนุ่ม เติบโตได้ในสภาพร่มเงา เหมาะสำหรับปลูกในเขตชลประทาน

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 2.5 – 3.0 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 8-10 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดินให้ละเอียด โดยไถพรวน 2 ถึง 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดอัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถว ๆ ห่างกัน 70 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุยรองพื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากปลูกหญ้า 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนี้ 1-2 เดือน หากยังมีวัชพืชขึ้นอยู่หนาแน่น ควรทำการกำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่งการใช้ประโยชน์ การตัดหญ้ากินนีสีม่วงไปใช้เลี้ยงสัตว์ ควรตัดครั้งแรก 60 วัน หลังปลูกและตัดครั้งต่อไปทุก ๆ 30-40 วัน ในช่วงฤดูฝนหญ้าโตเร็ว สามารถตัดได้ทุก 20-30 วัน โดยตัดสูงจากพื้นดิน 10- 15 เซนติเมตร หญ้ากินนีสีม่วงเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ ในรูปหญ้าสด หญ้าหมัก หรือจะปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มก็ได้

คุณสมบัติทั่วไป เป็นพืชอายุหลายปี ต้นตั้งเป็นกอ กอใหญ่ ใบกว้าง ขอบใบคม ทนต่อสภาพดินที่เป็นดินกรด ทนน้ำท่วมขัง ทนแล้ง

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 2.5-3.5 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 7-8 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดิน โดยไถพรวน 2 ถึง 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อไร่ โดยการหว่าน หรือโรยเมล็ดเป็นแถว ๆ  ห่างกัน 50 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุยสูตร 15-15-15 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุยรองพื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากปลูกหญ้า 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนี้ 1-2 เดือน กำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่ง ถ้ามีวัชพืชขึ้นหนาแน่นการใช้ประโยชน์ หญ้าอะตราตัมมีการเจริญเติบโตรวดเร็ว ถ้าปล่อยไว้ให้มีอายุมากใบจะหยาบกระด้างและอบใบคม ควรตัดครั้งแรกประมาณ 60 วันหลังปลูก และตัดครั้งต่อไปทุกๆ 30-40 วัน โดยตัดสูงจากพื้นดิน 5- 10 เซนติเมตร ช่วงฤดูฝนโตเร็ว สามารถตัดได้ทุก 25-30 วัน หญ้าอะตราตัมเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ ในรูปหญ้าสด หรือทำหญ้าหมัก แต่ไม่อาจเหมาะสำหรับทำหญ้าแห้ง เพราะลำต้นอวบน้ำทำให้แห้งช้า แต่ก็สามารถทำได้

คุณสมบัติทั่วไป เป็นหญ้าอายุหลายปี ต้นตั้งเป็นกอ เจริญเติบโตได้ในดินทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ทนต่อสภาพแห้งแล้ง ทนน้ำท่วมขัง

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 1.5-2.0 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 7-8 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดินให้ละเอียด โดยไถพรวน 2 ถึง 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้ราบเรียบสม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 2 กิโลกรัมต่อไร่ โดยการหว่าน หรือปลูกเป็นแถว ๆ ห่างกัน 50 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรมีการใส่ปุยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช ควรมีการกำจัดวัชพืชหลังปลูกหญ้า 2-4 สัปดาห์การใช้ประโยชน์ การตัดหญ้าพลิแคทูสั่มไปใช้เลี้ยงสัตว์ ควรตัดครั้งแรก 60-70 วันหลังปลูก โดยตัดสูงจากพื้นดิน 10- 15 เซนติเมตร สำหรับการปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มในแปลงหญ้า ควรปล่อยเข้าครั้งแรกเมื่อหญ้าอายุ 70-90 วัน หลังจากนั้นจึงทำการตัด หรือปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มหมุนเวียนทุก 30-45 วัน หญ้าพลิแคทูสั่มเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ ในรูปหญ้าสด หญ้าแห้ง หรือหญ้าหมัก

คุณสมบัติทั่วไป เป็นหญ้าที่มีอายุหลายปี สายพันธุ์ที่นิยมปลูก คือ หญ้าเนเปียร์แคระ (P. purpureum. Cr. Mott.) หญ้าเนเปียร์ (ธรรมดา) และหญ้าเนเปียร์ลูกผสม (P. Purpureum x P. americanum) ซึ่งมี 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าเนเปียร์ยักษ์ และหญ้าบาน่า และกำลังเป็นที่นิยมมากตอนนี้ก็หญ้าเนเปียร์ปากช่อง ซึ่งเป็นลูกผสมะหว่าง หญ้าเนเปียร์และหญ้าไข่มุก หญ้าเนเปียร์แคระสูง 1- 2 เมตร แตกกอดี ใบมาก ส่วนหญ้าเนเปียร์ธรรมดา ละเนเปียร์ลูกผสมสูง 3- 4 เมตร ทุกสายพันธุ์เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะสำหรับปลูกในเขตชลประทาน

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 3-4 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 8-10เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถพรวน 2 ถึง 3 ครั้ง ย่อยดินให้มีขนาดเล็กและร่วนซุย

การปลูก ปลูกได้ด้วยท่อนพันธุ์ ระยะปลูก 75×75 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 2 ท่อน ให้ข้ออยู่ใต้ดินลึก1- 2 นิ้ว ในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้ท่อนพันธุ์ 300- 500 กิโลกรัม

การใส่ปุ๋ย ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุยรองพื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังการตัดทุกครั้ง

การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชภายหลังจากปลูกหญ้า 2-4 สัปดาห์

การใช้ประโยชน์ การตัดหญ้าเนเปียร์ไปเลี้ยงสัตว์ ควรตัดครั้งแรก 60-70 วันหลังปลูก และตัดหญ้าครั้งต่อไปทุก 30-45 วัน ช่วงฤดูฝนหญ้าโตเร็ว อาจตัดอายุน้อยกว่า 30 วัน โดยตัดชิดดิน หญ้าเนเปียร์เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ กระบือ ในรูปหญ้าสด หรือหญ้าหมัก ไม่เหมาะสำหรับทำหญ้าแห้ง

คุณสมบัติทั่วไป เป็นถั่วอายุ 2-3 ปี มีทรงพุ่มเตี้ยตั้งตรงเหมาะปลูกในพื้นที่ดอน ทนสภาพแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดีตั้งแต่ดินทรายจนถึงดินร่วนปนเหนียว ทนแทะเล็มและเหยียบย่ำ ไม่ทนสภาพขึ้นแฉะและน้ำท่วมขัง

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 1.5-2.0 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 16-18 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดินให้ดีเป็นพิเศษ โดยไถพรวน 2 – 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดหว่านในอัตรา 1.5 – 2 กก.ต่อไร่ หรือโรยเป็นแถว ๆ ห่างกัน 30- 50 เซนติเมตร ก่อนปลูกควรเร่งความงอกของเมล็ด โดยแช่เมล็ดในน้ำร้อนอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส นาน 5-10 นาที

การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยรองพื้นสูตร 12-24-12 ในอัตรา 30 ถึง 50 กิโลกรัมต่อไร่ อาจใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วยเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และควรใส่ปุ๋ยทริปเปิลฟอสเฟต (0-46-0) ในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่

การกำจัดวัชพืช ทุก ๆ ปี ในช่วงต้นฤดูฝน การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืช 3-4 สัปดาห์หลังปลูกหลังจากนั้น 1-2 เดือนกำจัดอีกครั้ง

การใช้ประโยชน์ ควรตัดครั้งแรก เมื่ออายุ 60-70 วัน โดยตัดสูงจากพื้นดิน 10 -15 เซนติเมตร ควรปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มครั้งแรก เมื่ออายุ 70-80 วัน หลังจากนั้นจะตัดหรือปล่อยเข้าแทะเล็มทุก 30-45 วัน เหมาะเลี้ยงโคในรูปสดหรือแห้งได้

คุณสมบัติทั่วไป เป็นถั่วอายุสั้น 2-3 ปี มีทรงพุ่มตั้ง ขนาดต้นและทรงพุ่มใหญ่กว่าถั่วฮามาต้า ต้าทานโรคแอนแทคโนส แต่ไม่ชอบดินเค็มและดินด่าง (pH มากกว่า 8.5) ไม่ทนต่อการแทะเล็มเหยียบย่ำ หรือตัดบ่อย ๆ

ผลผลิต น้ำหนักแห้ง 1.5 – 2.5 ตันต่อไร่ต่อปีการปลูก

การเตรียมดิน ไถย่อยดินให้ดีเป็นพิเศษ โดยไถพรวน 2 – 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 2 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวให้แต่ละแถวห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร หรือหว่านเมล็ดให้ทั่วทั้งแปลง ก่อนปลูกต้องแช่เมล็ดในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที

การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยผสมสูตร 12-24-12 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้น และอาจจะต้องใส่ปุ๋ยคอก ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ควรใส่ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ในต้นฤดูฝนของทุกปีการกำจัดวัชพืช

การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากปลูกถั่ว 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนี้ประมาณ 1-2เดือน วัชพืชขึ้นหนาแน่น ควรกำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่ง

การใช้ประโยชน์ การใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงสัตว์ ตัดไปใช้เลี้ยงสัตว์ครั้งแรก เมื่ออายุ 80-90 วัน หลังจากนั้นตัดทุก 60-75 วัน โดยตัดสูงจากพื้นดินประมาณ 15 เซนติเมตร สามารถใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อ กระบือในรูปถั่วสดและแห้ง

คุณสมบัติทั่วไป เป็นพืชฤดูเดียว เถาเลื้อยใบดกมีสัดส่วนของใบมากกว่าลำต้น และเมื่อแห้งใบจะไม่ร่วงหล่นง่ายเหมาะสำหรับใช้ทำถั่วแห้งอัดฟ่อน

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้งประมาณ 1 ตันต่อไร่

คุณค่าทางโภชนะ  โปรตีน 14-18 เปอร์เซ็นต์

การเตรียมดิน ไถย่อยดิน โดยไถพรวน 2 – 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ

การปลูก การปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์ถั่วคาวาลเคดอัตรา 4 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวให้แต่ละแถวห่างกัน 25- 50 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ย ควรมีการใส่ปุ๋ยผสมสูตร 12-24-12  เป็นปุยรองพื้นในอัตราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่ และอาจจะต้องมีการใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย

การกำจัดวัชพืช การกำจัดวัชพืช กำจัดครั้งแรกเมื่อถั่วมีอายุ 3-4 สัปดาห์ และหลังจากนี้ถ้าวัชพืชขึ้นหนาแน่น ควรมีการกำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่งการใช้ประโยชน์ การใช้ประโยชน์ในการเลี้ยงสัตว์ การตัดถั่วคาวาลเคดเพื่อนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ ควรตัดเมื่อถั่วมีอายุ 60-90 วัน และตัดสูงจากพื้นดิน 10- 20 เซนติเมตร สามรถตัดถั่วได้ 2-3 ครั้ง สามารถใช้เลี้ยงโคในรูปถั่วสดและแห้ง

คุณสมบัติทั่วไป ถั่วไมยราหรือถั่วเดสแมนธัส หรือ เฮดจ์ลูเซอร์น เป็นพืชมีอายุหลายปี เป็นไม้ทรงพุ่มค่อนข้างตั้งตรง สูง 2.0-3.5 เมตร ใบและดอกคล้ายกระถิน แต่มีขนาดเล็กกว่าเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนในดินเหนียวที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขัง และดินกรดจัด

ผลผลิต ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 2 – 3 ตันต่อไร่ต่อปี

คุณค่าทางโภชนะ โปรตีนประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์   

การเตรียมดิน ไถย่อยดิน โดยไถพรวน 2 – 3 ครั้ง ปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ

การปลูก ใช้เมล็ดพันธุ์อัตรา 2 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูกแช่น้ำร้อนอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส นาน 5 นาทีโรยเมล็ดเป็นแถว แต่ละแถวห่างกัน 30- 60 เซนติเมตร

การใส่ปุ๋ย  ควรใส่ปุ๋ยผสมสูตร 12-24-12 อัตราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นปุยรองพื้น และอาจมีารใส่ปุ๋ยคอกร่วมด้วย ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ควรใส่ปุ่ยเช่นเดียวกันกับปีแรกในช่วงต้นฤดูฝน

การกำจัดวัชพืช ควรกำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากปลูก 2-4 สัปดาห์ และหากมีวัชพืชขึ้นหนาแน่น ควรมีการกำจัดวัชพืชตามความจำเป็น

การใช้ประโยชน์ การตัดถั่วไมยราครั้งแรก ควรตัดที่อายุ 60-70 วัน และตัดครั้งต่อไปทุก ๆ 30-45 วัน โดยตัดสูงจากพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร สามารถนำไปใช้เลี้ยงโคนม โคเนื้อกระบือ ทั้งในรูปถั่วสดและแห้ง การที่เกษตรกรจะปลูกพืชอาหารสัตว์ชนิดใด นอกจากพิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์แล้ว ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของภาพแวดล้อมที่จะปลูกพืชด้วยจึงจะทำให้การปลูกพืชอาหารสัตว์ได้ผลดี

ที่มา

http://dairyfeed.blogspot.com/2015/12/brachiaria-ruziziensis.html
https://www.gruposinagro.com.br/produto/brachiaria-ruziziensis
https://thfarmers.com/tag
https://ubonforageseeds.com/th/seeds/paspalum/
https://www.lazada.co.th
https://www.feedipedia.org/content/elephant-grass-pennisetum-purpureum-0
https://www.facebook.com/kaset.mhk
https://naihoy.com/2022/06/25/หญ้าไนล์-ท่อนพันธุ์หญ้า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=6288000417909419&set=pcb.737782838049238
https://en.wikipedia.org/wiki/Stylosanthes_hamata
https://en.wikipedia.org/wiki/Stylosanthes_guianensis
https://www.raiwittaya.co.th
http://dairyfeed.blogspot.com/2015/10/centrosema-pascuorum-cv-cavalcade.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Desmanthus_virgatus
http://dairyfeed.blogspot.com/2015/12/brachiaria-ruziziensis.html
https://www.gruposinagro.com.br/produto/brachiaria-ruziziensis/
https://thfarmers.com/tag
https://ubonforageseeds.com/th/seeds/paspalum/
https://www.lazada.co.th
https://www.feedipedia.org/content/elephant-grass-pennisetum-purpureum-0
https://www.facebook.com/kaset.mhk
https://naihoy.com/2022/06/25/หญ้าไนล์-ท่อนพันธุ์หญ้า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=6288000417909419&set=pcb.737782838049238
https://en.wikipedia.org/wiki/Stylosanthes_hamata/
https://en.wikipedia.org/wiki/Stylosanthes_guianensis/
https://www.raiwittaya.co.th
http://dairyfeed.blogspot.com/2015/10/centrosema-pascuorum-cv-cavalcade.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Desmanthus_virgatus/
http://www.monmai.com